วิธีเลือกครีมกันแดดหน้าหนาวและดูแลผิวพรรณในหน้าหนาวและแสงแดด ในหน้าหนาวแบบไทยๆ
เข้าหน้าหนาวแล้วยังต้องใช้ครีมกันแดดอยู่อีกหรือ?? เป็นคำถามที่ชวนสงสัย แต่ที่จริงบ้านเราเข้าเดือน 11 แล้วกลางวันยังร้อนและแสงแดงจ้าอยู่เลย มีลมหนาวมาบ้าง กลางคืนถึงอากาศเย็นพร้อมลมแรงยิ่งทำให้ผิวเราแห้งอีกต่างหาก อากาศอย่างนี้ยิ่งต้องทำให้เราดูแลผิวพรรณเป็นพิเศษ แล้วอย่างนี้เราควรทำอย่างไร ทั้งผิวแห้ง+แสงแดด
.jpg)
1.อันดับแรกให้เลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ กรดไฮยาลูรอนิค เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและกักเก็บน้ำใต้ผิวหนังช่วยไม่ให้เราผิวแห้งจากลมหนาว มาดู ประโยชน์ของ กรดไฮยาลูรอนิค ที่มีต่อผิวหน้า

สำหรับผิวหน้าของเรานั้น กรดตัวนี้จะถูกผลิตขึ้นและถูกหล่อเลี้ยงจากบริเวณผิวหนังชั้น dermis (ผิวชั้นล่าง) และกระจายไปถึงผิวหนังชั้น epidermis (ผิวหนังชั้นบน) บทบาทสำคัญที่เราควรตระหนักก็คือ มันจะช่วยให้ผิวหนังสามารถเก็บกักความชุ่มชื่นได้มากกว่าปรกติหลายเท่าเลยละ (โดยที่ไม่เพิ่มความมันแบบที่ไม่ดี sebum บนผิวชั้นนอก ดังนั้นคนที่มีผิวมันก็สบายใจขึ้นมาบ้าง) เมื่อผิวมีความชุ่มชื่นที่ดีเพียงพอ ผิวหน้าก็จะดูอ่อนกว่าเยาว์ ดูเนียนเรียบขึ้น ริ้วรอยลดลง มีความยืดหยุ่น นุ่มนวล และดูมีชีวิตชีวา .. กรดไฮยาลูรอนิคยังช่วยให้รักษาอาการบาดเจ็บของเซลล์ผิวหนังได้เร็วกว่าเดิม 80% อีกด้วย นั่นหมายความว่าผิวสามารถที่จะสมานและฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้น ผลดีอีกข้อนั่นก็คือการช่วยทำให้ผิวดูเต่งตึงขึ้นด้วย (plump effect) และโดยปรกติการไหลเวียนของเลือดจะเป็นตัวนำของเสียออกจากเซลล์ตามธรรมชาติ แต่สำหรับเซลล์ผิวที่ไม่ได้ติดต่อกับเส้นเลือดโดยตรง กรดไฮยาลูรอนิคนั้นขะช่วยเพิ่มการนำสารอาหารเข้าสู่เซลล์ผิวในส่วนนั้น และยังช่วยกำจัดของเสียออกจากเซลล์เหล่านั้น
2.เลือก ครีมกันแดดที่สามารถปกป้อง UVAและ UVB แล้วเลือกค่า SPF 30-50 PA+++ ไปเลยเพราะทั้งแสงสะท้อนจากกระจก หรือคุณพักผ่อนตามภาคเหนือ บนเขาบนดอยยิ่งเจอแสงแดดโดยตรง ค่า SPF จะช่วยคุณปกป้องแสงแดดได้เป็นอย่างดี มาดู ค่าของ SPF UVA UVB และสูตรคำนวณค่าSPF กันดีกว่า
ค่า SPF (Sun Protective Factor) จะเป็นค่าที่ระบุว่าครีมนี้สามารถป้องกัน UVB ได้กี่เท่า ตัวเลขที่ระบุจะถูกนำมาคูณกับจำนวนนาทีที่ผิวเราทนต่อรังสี UVBได้ เช่น ถ้าผิวหนังเราทน UVB ได้10 นาที ถ้าใช้ครีมกันแดด SFP30 = 10 นาที x30 เท่า = 300 นาทีโดยประมาณ
ส่วน UVA ยังไม่มีหน่วยวัดมาตรฐานในการวัดค่าการดูดซึม แต่ในครีมกันแดดปัจจุบันที่มี UVA Filter มักจะถูกระบุด้วยค่า PA (Protection Grade of UVA) และตามด้วยเครื่องหมาย + เพื่อระบุจำนวนเท่า ซึ่งในปัจจุบันจะมี 3 ระดับ คือ PA+ , PA++ , PA+++ เรียงตามระดับความสามารถในการป้องกัน UVA 2 เท่า , 4 เท่า และ 8 เท่านั่นเอง
วิตามินอีช่วยป้องกันผิวจากการไหม้เกรียม ริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยแผลได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานหรือการทาที่ผิวหนังโดยตรง เนื่องจากการเกิดแผลหรือการอักเสบบนผิวหนัง หรือการถูกแสงแดดเผาไหม้จะทำให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระขึ้น วิตามินอีจะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่ดูดซับสารอนุมูลอิสระก่อนที่จะทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสียหาย จึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์ทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น และช่วยให้ทนต่อรังสี UV ในแสงแดดได้ดีขึ้น
แหล่งที่พบวิตามินอีตามธรรมชาติ ได้แก่ ไข่ จมูกข้าวสาลี ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลชนิดโฮลเกรน แป้งทำขนมปังแบบเสริมวิตามิน ถั่วเหลือง น้ำมันพืช น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพดถั่ว เมล็ดทานตะวัน เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ (วอลนัท พีแคน ถั่วลิสง จะมีแกมมาโทโคฟีรอลมากเป็นพิเศษ) กะหล่ำปลี กะหล่ำดาว ผักใบเขียว ผักขม อะโวคาโด(เฉพาะเนื้อ) ปวยเล้งเป็นต้น หรือ ซื้ออาหารเสริม DHC วิตามิน อี มารับประทานก็สะดวกอย่างยิ่ง
4.อันดับสุดท้าย ดูแลตัวเอง
เมื่อเจอทั้งความร้อนจากแสงแดด และลมหนาว อุปกรณ์ปกป้องและง่ายๆ เช่น สวมใส่เสื้อผ้ามิดชิด กางร่ม ใส่หมวก ใส่แว่นตากันแดด ก่อนนอนทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของวิตามิน อี และปกป้องผิวให้ห่างไกลจากแสงแดดและรังสียูวีกันให้เป็นนิสัยเพื่อสุขภาพผิวที่ดี
ง่ายๆๆเพียง4ข้อนี้คุณก็ปกป้องผิวจากแสงแดดและลมหนาวแบบอากาศหน้าหนาวในบ้านเราได้แล้ว
เรียบเรียง nuibeyond