บทความ ผมร่วง ศีรษะล้าน หัวล้าน ผมบาง มาหาวิธีดูแลเส้นผมให้อยู่กับเรานานๆ
ก่อนอื่นเราต้องมารู้ก่อนว่า ผมร่วงนั้นเกิดจากอะไร
แต่ก่อนจะรู้สาเหตุ เราต้องมารู้จักวงจรชีวิตของเส้นผมก่อนค่ะ
...................................
เส้นผมมีวงจรชีวิตอยู่ในช่วง 2 -6 ปีโดยประมาณ และส่วนใหญ่ผมจะยาวประมาณ 1/2 นิ้ว ต่อเดือน ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ 90 % ของปริมาณเส้นผมบนหนังศีรษะจะอยู่ในช่วงที่กำลังเจริญเติบโต และ 10% อยู่ในระยะพัก ผมในระยะพักจะไม่เจริญเติบโตต่ออีก หลังจากนั้น 2 – 3 เดือนก็จะร่วงหลุดไป และมีผมสั้นใหม่เจริญขึ้นมาแทน
....................................
1. การทำผมหรือทำทรีทเมนต์ผมที่รุนแรงเกินไป การใช้สารเคมี เช่น ยาย้อมผม, ยากัดสีผม, ครีมย้อมผม, น้ำยาดัดผม น้ำยายืดผม ที่ไม่ถูกต้อง มากเกินไปหรือบ่อยเกินไป อาจทำให้เกิดการขัดขวางการเจริญปกติของเส้นผมได้ นอกจากนี้การใช้ยางรัดผม หรืออุปกรณ์แต่งผมที่รัดแน่นเกินไปกับผมที่ผ่านสารเคมีมาก่อน ซึ่งในช่วงนั้นรากผมจะมีการอักเสบอยู่ อาจทำให้ผมหลุดร่วงได้ง่ายกว่าปกติ ในทำนองเดียวกัน การถักเปียที่แน่นเกินไปก็จะทำให้ผมร่วงง่ายได้เช่นเดียวกัน และอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่บริเวณรากผม ซึ่งจะทำให้ไม่มีผมใหม่ขึ้นที่บริเวณรากผมนั้น เกิดผมร่วง ผมบางถาวรได้อีกด้วย
2. ผมร่วงแบบศีรษะล้านจากพันธุกรรม ภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้ชาย แต่ก็พบได้ประปรายในผู้หญิงอาจรู้จักได้ในชื่อ ผมร่วงแบบแอนโดรจีนิค (androgenic alopecia) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน (ซึ่งพบทั้งในผู้ชายและผู้หญิง) ไปเป็นฮอร์โมน ดีเอชที (DHT – dihydrotestosterone) ที่ทำให้เกิดผลอันตรายต่อรากผม โดยปกติในผู้หญิงจะมีปริมาณฮอร์โมนนี้อยู่ในปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่ในภาวะใดก็ตามที่ฮอร์โมนเพศหญิงลดลง เช่น ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะทำให้ฤทธิ์ของฮอร์โมนตัวนี้เด่นขึ้น และทำให้เกิดภาวะผมบางที่บริเวณส่วนบนหรือด้านข้างของศีรษะคล้ายที่พบในผู้ชายได้
3. ความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ผมร่วงอาจเกิดจากภาวะความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกายได้เช่น การได้รับยาเม็ดคุมกำเนิด, หญิงวัยหมดประจำเดือน, หญิงที่ได้รับการรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทน, การผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออก ซึ่งภาวะเหล่านี้จะทำให้เกิดฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง และทำให้ผมเข้าสู่ระยะพักเร็วขึ้นกว่าปกติ ผมจึงหลุดร่วงเร็วขึ้น นอกจากนี้ฮอร์โมนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีก เช่น ไทรอยด์ฮอร์โมน อาจพบภาวะผมร่วงได้ทั้งในผู้ป่วยที่มีฮอร์โมนไทรอยด์สูงและไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ
4. การตั้งครรภ์ และผมร่วงหลังคลอด ในช่วงตั้งครรภ์ผมที่ควรจะร่วงปกติกลับยังคงอยู่ เนื่องจากฮอร์โมนบางชนิดมีระดับที่สูงขึ้นหลังคลอด ฮอร์โมนมีการลดลงสู่ระดับปกติจึงพบว่ามีผมร่วงมากขึ้น บางครั้งร่วงเป็นกระจุก บางครั้งอาจไม่พบทันทีหลังคลอด แต่กลับพบผมร่วงมากหลังคลอดแล้วนานถึง 3 เดือนก็ได้ ผมที่ร่วงมากขึ้นนี้ส่วนใหญ่จะกลับขึ้นปกติได้ภายใน 3-6 เดือน หลังเกิดอาการ
5. ภาวะความเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจหรือหลังการการผ่าตัด ภาวะความเจ็บป่วยหรือการผ่าตัดสามารถที่จะทำให้รากผมเข้าสู่ระยะพัก การปรับตัวของร่างกายให้ต่อสู้กับความเครียดที่เกิดขึ้น ร่างกายอาจหยุดการทำงานที่ไม่จำเป็นเช่น การสร้างผมก็หยุดไว้ก่อน ผมร่วงที่เกิดจากภาวะนี้จะกลับเจริญขึ้นใหม่ได้เองหลังจากนี้ 6 เดือน นอกจากนี้โรคบางโรคอาจทำให้เกิดผมร่วงได้ เช่น ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDs), โรคเอสแอลอี (SLE) , โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น
6.การขาดอาหาร การลดน้ำหนัก อดอาหาร หรือในผู้ป่วยโรคจิตบางชนิด เช่น อนอเรกเซีย, บูลีเมีย (anorexia, bulimia) อาจทำให้รากผมเกิดภาวะช็อค และหยุดการเจริญชั่วคราวได้ สารอาหารที่ร่างกายได้รับไม่พอเพียง ทั้งพวกโปรตีน, วิตามิน, เกลือแร่ จะถูกนำไปใช้กับร่างกายในส่วนที่สำคัญก่อน ดังนั้นผมอาจจะหยุดการเจริญชั่วคราว เมื่อได้รับสารอาหารที่เพียงพออีกครั้งผมจะเจริญขึ้นใหม่ได้อีก
7.การใช้ยาบางประเภท ยาบางประเภทมีผลข้างเคียงทำให้เกิดผมร่วงเช่น ยาเคมีบำบัด, ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง, ยารักษาโรคเก๊าฑ์, วิตามิน A ขนาดสูงที่ใช้ในการรักษาสิว ดังนั้นหากต้องใช้ยาอะไรเป็นประจำแล้วมีภาวะผมร่วงเกิดขึ้น ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และเปลี่ยนชนิดของยา ส่วนใหญ่ผมที่ร่วงไปจะกลับขึ้นใหม่ได้ รายละเอียดยาที่ทำให้ผมร่วง
8.อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น การเจริญของผมจะช้าลง การป้องกันผมร่วงจากภาวะนี้ค่อนข้างยาก แต่สิ่งที่จะพอช่วยได้คือ หลีกเลี่ยงสาเหตุอื่น ๆ ที่จะทำให้ผมร่วงมากขึ้นไปอีก เช่น ใช้แชมพูอ่อน หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่ผม รับประทานอาหารให้ครบหมู่ และออกกำลังกาย รักษาสุขภาพให้แข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย ก็จะไม่เป็นการซ้ำเติมให้เส้นผมหลุดร่วงมากขึ้น
ทราบหรือไม่ว่าผมร่วงเรื้อรังอาจเกิดขึ้นได้จากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ?
อาหารเป็นกุญแจสำคัญของการทำงานปกติของฮอร์โมนซึ่งมีผลต่อรากผมและหนังศีรษะ อาหารโปรตีนสูงให้ผลดีอย่างมากในการกระตุ้นการเจริญของผม เนื่องจากโปรตีนเป็นส่วนประกอบสำคัญที่นำมาใช้ในการสร้างเส้นผม โปรตีนมีหลายชนิด ดังนั้นควรมั่นใจว่ารับประทานโปรตีนที่มีคุณภาพที่มาจากเนื้อสัตว์หลากหลายชนิดอย่างน้อยวันละ 1 มื้อ ปลาโดยเฉพาะปลาน้ำลึก เช่นทุน่า, แซลมอน, ซาดีน, ปลากระพงทะเล เป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพดีกว่าเนื้อสัตว์อื่น เพราะนอกจากจะเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายแล้ว ยังให้กรดไขมันที่จำเป็นเหล่านี้ มีความสำคัญต่อการคงความสมดุลของฮอร์โมนและทำให้การเจริญของผมต่อเนื่อง ถั่วต่าง ๆ และผักใบเขียว เช่น เมล็ดทานตะวัน, วอลนัท, ผักขม ต่างก็มีความสำคัญในการป้องกันผมร่วงและทำให้ผมคงสภาพดีอยู่เสมอ
การนวดหนังศีรษะโดยการใช้สมุนไพรธรรมชาติอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เป็นอีกอย่างที่ให้ผลดี สมุนไพรบางชนิดเช่น อโลเวรา, โรสแมรี่, เฮนนา, เสจ มีการใช้มาเป็นเวลานานเพื่อรักษาผมเปราะบาง, ลดการหลุดร่วงของผม สมุนไพรเหล่านี้ส่วนใหญ่มีผลในการกระตุ้น และหล่อเลี้ยงรากผมโดยการเพิ่มการไหลเวียนโลหิตให้กับหนังศีรษะ ลองมาดูว่าสมุนไพรแต่ละชนิดช่วยเรื่องผมร่วงอย่างไร
- อโลเวรา (Aloe Vera) มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ, ให้ความชุ่มชื้น, หล่อเลี้ยง และช่วยให้เส้นผมคงความแข็งแรง หนา มีการศึกษาพบว่าพืชชนิดนี้มีสารสำคัญตามธรรมชาติ 5 อย่าง ที่ช่วยป้องกันหนังศีรษะอักเสบ
- ลาเวนเดอร์ (Lavender) มีฤทธิ์ที่ดีมากในการต้านการอักเสบและต้านแอนโดรเจน สามารถใช้ในการรักษาภาวะผมร่วงจากกรรมพันธุ์ได้ นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงเส้นผม ทำให้ผมดูหนาและเปล่งประกายมากขึ้น
- พริก (apsicum) เร่งการขึ้นใหม่ของเส้นผมและเพิ่มการไหลเวียนโลหิตที่บริเวณหนังศีรษะ พริกเป็นสมุนไพรที่ยอดเยี่ยมในการช่วยลดภาวะผมร่วงที่เกิดจากการที่เลือดและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงหนังศีรษะลดลง
- เบอร์ดอก (Burdock) ช่วยในการรักษาภาวะมีการระคายเคืองของหนังศีรษะ และช่วยทำให้ผมที่บางลง หนาขึ้น นอกจากนี้ยังให้กรดไขมันที่จำเป็น (essential fatty acids) และไขมันธรรมชาติจากพืช (natural phytosterols) กับรากผม ดังนั้นจึงทำให้ผมแข็งแรงและดูเป็นประกาย
- ขิง (Ginger) ช่วยในการกระตุ้นการเจริญของรากผม และมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบอยู่มาก จึงช่วยให้เส้นผมแต่ละเส้นมีความหนาเพิ่มขึ้น
- โรสแมรี่ (Rosemary) กระตุ้นการไหลเวียนเลือดที่หนังศีรษะ และช่วยกำจัดไขมัน (sebum) และลดรังแคที่หนังศีรษะได้
- เสจ (Sage) ประกอบไปด้วยสารชำระล้างทำความสะอาด และสารต่อต้านเชื้อโรค (anti – septic) กระตุ้นการเจริญของเส้นผม และยังช่วยทำให้ผมแข็งแรงและหนาตัวขึ้น
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีภาวะผมร่วง
อาหารกลุ่มต่อไปนี้ผู้ที่มีปัญหาผมร่วงควรหลีกเลี่ยงหรือบริโภคให้น้อยที่สุด
1. อาหารที่มีไขมันสูง และเป็นไขมันจากสัตว์เป็นหลัก เนื่องจากอาหารประเภทนี้จะเพิ่มระดับของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ซึ่งส่งผลร้ายต่อรากผม ทำให้ผมร่วงมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวญี่ปุ่นบริโภคเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน และอาหารที่มีไขมันน้อย จึงพบภาวะศีรษะล้านในชาวญี่ปุ่นน้อย แต่ในปัจจุบันชาวญี่ปุ่นบริโภคไขมันเพิ่มขึ้น จึงพบภาวะศีรษะล้านได้มากขึ้นในชาวญี่ปุ่น
2. อาหารที่เกลือสูง (salty diet) การรับประทานอาหารที่มีรสเค็ม หรือมีเกลือมากเช่น อาหารหมักดอง ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และเส้นเลือดหดตัวได้ เป็นผลให้เลือดไปเล้ยงรากผมได้น้อยลง
3. คาเฟอีน ในชาและกาแฟ ในปริมาณมากเกินไป ทำให้เส้นเลือดหดตัวได้
4. ผงชูรส (โมโนโซเดียม กลูตาเมท) เป็นสารเคมีที่ทำให้เจริญอาหาร ทำให้น้ำหนักขึ้น และก่อปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา ผงชูรสมีผลโดยตรงต่อการดูดซึมปริมาณวิตามินต่างๆเข้าสู่กระแสเลือดโดยเฉพาะ วิตามิน B6 ซึ่งมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเส้นผมอย่างมาก ผู้ที่นิยมการกิน
อาหารที่มีผงชูรสปรุงแต่งบ่อยๆจะขาดวิตามินบี6 และเส้นผมจะยาวช้า
5. แอสปาแตม (น้ำตาลเทียม) เนื่องจากเป็นสารเคมีที่ใช้แต่งให้ความหวาน จึงทำให้เกิดผลเสียกับสุขภาพหลายอย่าง
6. อาหารที่ผ่านกรรมวิธีขัดขาวมาก เช่น ข้าว , น้ำตาล , แป้งขัดขาว เนื่องจากวิตามินที่มีอยู่ในอาหารเหล่านี้มักถูกเอาออกไปโดยขบวนการขัดขาว
7. แอลกอฮอล์ เช่น เหล้า, เบียร์ และบุหรี่ เนื่องจากทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดหดตัว แข็งตัวมากขึ้น ทำให้แก่เร็ว และเส้นผมเสื่อมสภาพเร็วขึ้นได้
8.อาหารที่มีการแต่งกลิ่น และสี เนื่องจากสีและกลิ่นที่ผสมในอาหาร เป็นสารเคมีประเภทหนึ่งซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ และมีผมร่วงตามมาได้
...........................................................................................................
อาหารที่ควรรับประทานในผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ศีรษะล้าน หัวล้าน ผมบาง
อาหารกลุ่มต่อไปนี้ควรจะเน้นรับประทานให้มากกว่าปกติ เพราะพิสูจน์มาแล้วว่าช่วยในการเร่งการงอกของเส้นผมให้เร็วขึ้น ช่วยทำให้เส้นผมมีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย
1. กินอาหารที่มีไขมันน้อย (low fat food) อาหารที่มีไขมันน้อยอาจไม่ได้หยุดผมร่วง แต่ช่วยให้ผมร่วงน้อยลงได้
2. กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ เครื่องใน ผักใบเขียวเข้ม ไข่ ธัญพืช เนื่องจากภาวะโลหิตจางจะทำให้เกิดผมร่วงได้ ธาตุเหล็กจะมีอยู่ในฮีโมโลบิน ที่จะช่วยในการขับออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งรากผมด้วย
3. กินอาหารที่มีโปรตีนสูง เนื่องจากผมที่มีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นโปรตีน โปรตีนที่มีคุณภาพดีและมีการศึกษาพบว่าช่วยในการเจริญของผม คือ โปรตีนจากถั่วเหลือง เต้าหู้ นอกจากนี้โปรตีนคุณภาพดีอื่น ๆ เช่น ไข่ ปลา ถั่ว อื่น ๆ โยเกิร์ต และชีสไขมันต่ำ (low –fat cheese)
4. กินอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี โดยเฉพาะ B3, B5, B6, B12 เนื่องจากช่วยในการเจริญของเส้นผม ทำให้ผมยาวเร็ว และลดผมร่วง พบใน ธัญพืช, ตับ, ไข่, ถั่ว, ผักใบเขียว, เมล็ดดอกทานตะวัน, จมูกข้าวสาลี, ยีสต์
5. อาหารที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ พวกผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม, มะนาว, ฝรั่ง, แตง
6. อาหารที่มีซิลิกาสูง (Silica) ซิลิกามีความสำคัญในการช่วยลดผมร่วง บางครั้งนำมาใช้ผสมในแชมพูร่วมด้วย อาหารที่มีซิลิกาสูงได้แก่ มันฝรั่ง, พริกไท, แตงกวา
7. อาหารที่มีวิตามิน เอ เพื่อจะช่วยให้หนังศีรษะมีสุขภาพดี พบใน แครอท, บอคเคอรี, มะเขือเทศ, ฟักทอง
8. อาหารที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidant) เพื่อลดความเสื่อมที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น เช่น เบอรี่, เชอรี่
9. อาหารที่มีวิตามิน E ซึ่งมีความสำคัญในการช่วยการเจริญของผม พบได้ใน ถั่ว, น้ำมันมะกอก, เมล็ดพืช, อโวคาโด
10. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หรือ 8 แก้ว
อาหาร 12 ชนิด ช่วยลดอาการผมร่วง เร่งให้ผมยาวเร็วขึ้น เส้นใหญ่ขึ้น
อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการแล้วยังช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเส้นผมได้อีกด้วย สรุปมาได้ 12 ชนิดอาหารเรียงตามลำดับความสามารถที่จะเร่งให้ผมยาวเร็วขึ้น
1. ปลาแซลมอน เนื่องจากปลาแซลมอน มีกรดไขมันที่จำเป็น โอเมก้า 3 (omega – 3 fatty acid) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดี และยังมี วิตามิน บี 12 และเหล็กอยู่ในปริมาณมาก ประชากรของประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการเป็นผมร่วง ผมบาง ต่ำกว่าประชากรในประเทศแถบตะวันตก และต่ำสุดในเอเซีย การนิยมบริโภคปลาแซลมอนมากเป็นเหตุผลสนับสนุนสถิตินี้ส่วนหนึ่ง แม้ในปัจจุบันจะพบว่าวัยรุ่นชาวญี่ปุ่นนิยมทำแฟชั่นเกี่ยวกับทรงผมมากเป็นพิเศษทั้งการใช้สารเคมีต่างๆกับเส้นผม ทั้งยืดผม ดัดผม เปลี่ยนสีผมนานาสี ก็ยังพบว่าชาวญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดปัญหาผมร่วง ผมบางต่ำมาก นั่นแสดงว่าอาหารการกินมีส่วนทำให้เส้นผมมีความแข็งแรงได้จริงๆ
2.เม็ดอัลมอนด์ เป็นแหล่งของโปรตีนที่ดีมาก โดยเฉพาะในผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ มีธาตุเหล็ก และวิตามิน อี สูง และยังช่วยลดไขมัน คลอเลสเตอรอลด้วย แต่ยาลดไขมันคลอเลสเตอรอลบางชนิดทำให้เกิดภาวะผมร่วง ไทยแฮร์ฯแนะนำให้กินพร้อมเปลือกวันละ 20 เม็ด จะช่วยให้เส้นผมมีขนาดใหญ่ขึ้นและยาวเร็วขึ้น และยังช่วยลดระดับไขมันในเลือดทั้งไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอล
3. ถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วปากอ้า ถั่วเหลือง มีความสำคัญต่อเส้นผมมาก นอกจากจะให้โปรตีนสูง กระตุ้นการเจริญของผมแล้ว ยังให้ธาตุเหล็ก, สังกะสีและไบโอตินอีกด้วย ไทยแฮร์ฯแนะนำให้ใช้น้ำนมถั่วเหลืองแทนในปริมาณ 1/2 - 1 ลิตร ต่อวัน จะช่วยให้เส้นผมมีขนาดใหญ่ขึ้นและยาวเร็วขึ้น
4. ผักใบเขียวเข้ม (Dark green vegetables) เช่น ผักโขม, บอคเคอรี่ เป็นแหล่งที่มีวิตามิน A และ C สูงซึ่งร่างกายต้องการใช้ในการผลิตไขมัน (sebum) และน้ำมันจากรากขน เพื่อหล่อเลี้ยงเส้นผม นอกจากนี้ผักใบเขียวยังมีธาตุเหล็กและแคลเซียมด้วย
5. ธัญพืช (Whole Grains) เช่น ขนมปังที่มีกาก (Whole – wheat bread), ซีเรียล (cereals) อาหารพวกนี้จะมีวิตามินบีสูง ซึ่งวิตามินบีมีความสำคัญมากในการเจริญของผม มีเหล็กและสังกะสี มีกากมากช่วยให้อิ่มนาน จึงช่วยลดน้ำหนักได้
6.ไข่ ไข่เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง และมีวิตามินหลายอย่าง รวมทั้งวิตามิน บี 12 และไบโอติน ซึ่งมีความสำคัญต่อเส้นผม
7.เนื้อปลา เนื้อปลาเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพดี มีวิตามิน เอ, วิตามิน บี 6 สูงและมีกรดไขมันที่จำเป็น มีความสำคัญมากในการทำให้เส้นผม เล็บและผิวหนังมีสุขภาพดี
8. นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต, ชีส ควรเลือกที่มีไขมันต่ำ นอกจากมีโปรตีน เวย์และเคซีน (whey and casein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูงแล้ว ยังมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่าง ๆ มากเช่น แคลเซียม, ไอโอดีน, สังกะสี เกลือแร่เหล่านี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการเจริญของเส้นผม
9. หอยนางรม มีสังกะสีในประมาณสูง จึงช่วยทำให้ผมมีสุขภาพดี และช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant)
10.ส้ม ส้มเป็นแหล่งของวิตามินซี ที่สำคัญ วิตามินซี ช่วยในการดูดซึมของเหล็ก ทำให้ธาตุเหล็กที่ได้รับจากเนื้อหรือถั่วเหลือง ดูดซึมได้ง่ายขึ้น วิตามินซีช่วยในการสร้างคอลลาเจน (collagen) ซึ่งจำเป็นในการเจริญของรากผม และยังช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสื่อมที่เกิดจากอายุด้วย
11. แครอท แครอทเป็นพืชที่ให้วิตามิน เอ สูง ช่วยทำให้หนังศีรษะมีสุขภาพดี หนังศีรษะที่มีสุขภาพดี จะช่วยให้ผมมีความชุ่มชื้น เป็นประกายและมีความแข็งแรง ไม่เปราะขาดง่าย
12.ข้าวโอ๊ต (oats) ข้าวโอ๊ต ให้ธาตุเหล็กที่ดูดซึมได้ง่าย และยังให้โปรแตสเซียม(Potassium), ฟอสฟอรัสและแมกนีเซียมสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญและจำเป็นต่อการทำงานปกติของร่างกาย
น้ำกะทิและน้ำมะพร้าวช่วยรักษาคนศีรษะล้านได้จริงหรือไม่ ?
ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการ หรือการทดลองที่ทำชัดเจนว่าน้ำมันมะพร้าว หรือกะทิสามารถรักษาผมร่วงได้จริงหรือไม่ แต่มีการปฏิบัติกันมาตั้งแต่ในอดีตเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านว่า กะทิสามารถนำมาใช้ในการบำรุงผม บำรุงหนังศีรษะ ทำให้ผมเป็นประกายเงางาม ทำให้ผมแข็งแรง นอกจากนี้ยังช่วยลดผมร่วง และกระตุ้นการเจริญของผมใหม่ได้ด้วย ทั้งนี้เนื่องจากว่าการสระผมทั่วๆ ไป อาจทำให้โปรตีนที่เคลือบอยู่บนเส้นผมตามธรรมชาติหลุดออกไปในระหว่างที่สระผม ซึ่ง
ส่วนประกอบหลักของเส้นผมคือ โปรตีนที่เรียกว่าเคอราติน (Keratins) กะทิ ที่เคลือบเส้นผมสามารถทำให้โปรตีนเกิดการสูญเสีย ออกไปน้อยที่สุด อาจเนื่องจากว่าโปรตีนในน้ำมันมะพร้าวมีความใกล้เคียงกับโปรตีนของเส้นผม และในน้ำมันมะพร้าวมีส่วนประกอบเป็นไขมันสายกลาง (medium chain triglycerides ; MCT ) : ซึ่ง MCT นี้ สามารถผ่านเข้าออกอย่างอิสระที่ผนังเซลล์ และการที่มีน้ำหนักโมเลกุลน้อยนี้ทำให้สามารถผ่านเข้าออกจากเส้นผมได้อย่างง่ายดาย จึงมีประสิทธิภาพในการบำรุงเส้นผมได้ดี อีกทั้งสารเคลือบผมตามธรรมชาติที่เรียกว่า ซีบัม (sebum) ซึ่งคอยปกป้องเส้นผมและหนังศีรษะไม่ให้แห้ง แตกง่ายยังมีส่วนผสมเป็น MCT ซึ่งคล้ายกับที่มีในมะพร้าวด้วย กะทิ ยังช่วยในการดูดซึมวิตามินอี ซึ่งช่วยในเรื่องของการไหลเวียนโลหิต นำพาสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงบริเวณหนังศีรษะและรากผมได้ดีขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้กะทิจะมีน้ำมันดังกล่าวแล้ว ยังประกอบไปด้วยเอนไซม์ที่จำเป็นที่มีส่วนช่วยในการหยุดผมร่วง และลดผมหงอกก่อนวัยได้ นอกจากนี้ในกะทิยังมีสารฟาโวนอยท์ (flavonoids) วิตามินอี และ ดี ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญของเส้นผมด้วย มะพร้าวเป็นสารจากธรรมชาติ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ไม่มีพิษ ไม่เป็นสารเคมี จึงไม่เป็นอันตรายหากจะใช้กับเส้นผมหรือหนังศีรษะ วิธีการใช้มะพร้าวในการบำรุงหนังศีรษะ ลดผมร่วง มีได้หลายตำรา ยกตัวอย่างเช่น
1. การใช้กะทิ ควรใช้มะพร้าวแก่ ขูดมะพร้าว มาคั้นกะทิสด ๆ ใช้กะทิประมาณ 1 – 2 แก้ว ขึ้นอยู่กับความยาวของเส้นผม ชะโลมกะทิลงบนศีรษะและเส้นผม ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า (ยังไม่ต้องสระผมด้วยแชมพู) วิธีนี้จะทำให้น้ำมันมะพร้าวเคลือบอยู่บนเส้นผมได้นาน ทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมงหรือ 1 วัน แล้วค่อยสระผมด้วยแชมพูอีกครั้งในวันถัดไป วิธีนี้จะทำให้เส้นผมนิ่ม เรียบลื่นขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ และจะเริ่มสังเกตได้ว่าผมร่วงลดลง ควรทำวิธีนี้อาทิตย์ละครั้ง แม้ว่าผมร่วงจะดีขึ้นแล้วก็ควรทำต่อเนื่องอย่างน้อย 2 – 3 อาทิตย์ต่อครั้ง วิธีนี้ไม่เฉพาะลดผมร่วงได้เท่านั้น แต่ยังทำให้เส้นผมมีสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย ผมร่วงจะเริ่มสังเกตเห็นว่าลดลงเมื่อทำไปประมาณ 2 สัปดาห์ และได้ผลดีเมื่อทำไปแล้ว ประมาณ 2 เดือน อาจเพิ่มประสิทธิภาพโดยการใช้กะทิที่อุ่น ๆ
2. อาจใช้น้ำมันมะพร้าวที่สกัดแล้ว ควรเลือกน้ำมันมะพร้าวที่ใช้วิธีสกัดเย็น เนื่องจากไม่มีการสูญเสียวิตามินธรรมชาติที่มีอยู่ในมะพร้าวไปกับความร้อนในขั้นตอนการสกัด ชะโลมที่บริเวณหนังศีรษะ และเส้นผมแล้วนวด สัปดาห์ละ 2 ครั้ง อาจทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วล้างออกตอนเช้า การใช้นิ้วมือนวดหนังศีรษะจะช่วยกระตุ้นเส้นเลือดที่มาเลี้ยงหนังศีรษะได้ด้วย
ยาที่ทำให้เกิดภาวะผมร่วงหรืออาการผมร่วง
ผลข้างเคียงของยาบางชนิดอาจทำให้เกิดภาวะผมร่วง กระตุ้นให้เกิดศีรษะล้านได้ ยาเหล่านั้นที่อาจทำให้เกิดภาวะนี้ได้แก่
1. กลุ่มยารักษาสิว ได้แก่ ยาที่เป็นอนุพันธ์ของวิตามิน A เช่น Accutane (isotretinoin) ยากลุ่มนี้นอกจากจะทำให้มีเยื่อบุอ่อนแห้งแตกลอกเป็นขุยแล้ว ยังทำให้ผมร่วงได้มากๆ เลย
2. ยาลดการแข็งตัวของเลือด มักใช้ในผู้ป่วยหลังการผ่าตัดลิ้นหัวใจ ผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ป่วยที่มีลิ่มเลือดอุดตัน Panwarfin® (warfarin Sodium), Sofarin®, Coumadin Heparin injections
3. ยาลดคลอเลสเตอรอลในเลือด Atromid–s® ( clofibrate) Hidil®, Lopid® ( gemfibrozil)
ยากันชัก
4. ยาต้านโรคซึมเศร้า ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและยาคลายเครียด ได้แก่
Anafranil® ( clomipramine)
Elavil® ( amitriptyline)
Norpramin® (desipramine hydrochloride)
Pamelor® (nortriptyline)
Paxil® (paroxetine)
Prozac® (fluoxetine)
Sinequan® (doxepin)
Surmontil® (trimipramine)
Tofranil® (imipramine)
Vivactil® (protriptyline)
Zoloft® (sertraline)
5. ยาลดน้ำหนัก ได้แก่ ยากลุ่มอนุพันธ์ของ Amphetamines ซึ่งใช้ลดน้ำหนักทำให้ความอยากอาหารลดลง
6. ยาฆ่าเชื้อรา ได้แก่ KetoconaZole Fluconazole
7.ยารักษาโรคเก๊าฑ์ ยาลดกรดยูริค ได้แก่ Zyloprim® (allopurinol)
8.ยาหยอดตารักษาโรคต้อหิน ได้แก่ กลุ่มต่อต้านเบต้า (Beta – blocker drugs) เช่น Timolol® eye drops.
9.ยาลดความดันโลหิต ใช้ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ได้แก่ กลุ่มยาต่อต้านเบต้า (Beta – blockers)
Tenormin® (Atenolol)
Lopressor® (metoprolo)
Corgard® (nadolol)
Inderal® (propanolol)
Blocadren® (timolol)
10.ยากลุ่มฮอร์โมน ทั้ง ฮอร์โมนเพศหญิง และฮอร์โมนเพศชายได้แก่ ยาเม็ดคุมกำเนิด
* การใช้ฮอร์โมนทดแทนในหญิงวัยทอง เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน (estrogen และ progesterone)
* ยาฮอร์โมนเพศชาย แอนโดรจีนิกและเทสโทสเตอโรน (Male androgenic hormones and testosterone)
* สเตียรอยด์ ได้แก่ Prednisolone
11. ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือ ยาแก้ปวดข้อ ข้ออักเสบ ได้แก่ Naprosyn® (Naproxen), Indocin® (indomethacin), Clinoril® (sulindac)
12. ยารักษาโรคพาร์กินสัน ได้แก่ Levadopa/L – dopa (Dopar,Laradopa)
13. ยารักษาไทรอยด์ หรือฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน
14. ยารักษาแผลในกระเพาะอาหารหรือยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ได้แก่ Pepcid® (famotidine), Zantac® (ranidine), Tagamet® (Cimetidine)
หนังศีรษะที่มันทำให้เกิดผมร่วงได้หรือไม่ ?
หนังศีรษะและผมร่วงเกี่ยวกันอย่างไร หนังศีรษะที่มันทำให้เกิดผมร่วงได้หรือไม่? ผู้ที่มีปัญหาหนังศีรษะมันมาก อาจกำลังหาคำตอบว่าควรจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร นอกเหนือจากหนังศีรษะที่มันจะเกิดขึ้น จากการผลิตน้ำมันที่มากตามธรรมชาติแล้ว บางครั้งยังอาจเกิดการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ไม่เหมาะสม เช่น แชมพู มูสส์ สเปรย์ เจล มากเกินไปได้อีกด้วย สิ่งที่ควรทำคือ หยุดการสร้างน้ำมันหรือเพิ่มความมันให้กับเส้นผมโดยใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวซึ่งมีน้ำมันเป็นส่วนผสมอยู่เป็นจำนวนมาก หนังศีรษะมันทำให้เกิดผมร่วงได้เนื่องจาก รากผมซึ่งทำหน้าที่ผลิตและทำให้เส้นผมเจริญขึ้นมา ต้องการการหายใจและต้องการเลือดที่มาหล่อเลี้ยง เพื่อนำพาอาหารและออกซิเจนมายังรากผม เมื่อมีไขมันมาสะสมอยู่อาจทำให้การไหลเวียนเลือด และการหายใจบริเวณรากผมลดลง ทำให้ผมไม่แข็งแรงเส้นผมบางลงและหลุดร่วงง่ายได้
วิธีการลดผมมันวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีคือ ใช้มะนาว 2 กลีบบีบน้ำมะนาวลงในน้ำสะอาดแล้วใช้ล้างหนังศีรษะและเส้นผม อาทิตย์ละ 3 ครั้ง
เกร็ดน่ารู้น่าปฏิบัติตามในการลดหนังศีรษะมัน
เคล็ดลับต่อไปนี้แนะนำจากการกลั่นกรองมาแล้วของผู้เชี่ยวชาญจากไทยแฮร์เซ็นเตอร์ ท่านสามารถนำไปปฏิบัติตามได้
1. สระผมอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ด้วยแชมพูสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังศีรษะมัน หรือแชมพูเด็ก
2. ใช้น้ำอุ่นในการสระผมและปิดท้ายด้วยน้ำเย็นทุกครั้ง
3. ไม่ใช้ครีมนวดผมใดๆเลย หรือ แชมพูอะไรก็ตามที่เขียนสรรพคุณว่า 2 in 1 ให้หลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด เพราะแชมพูเหล่านี้มี กลีเซอลีนเป็นส่วนประกอบสำคัญที่จะทำให้หนังศีรษะมันมากขึ้น
4. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันแต่งผม สเปรย์แต่งผมทุกชนิด ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ อนุโลมได้เฉพาะ มูสส์เท่านั้น
5. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี แอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ เพราะจะระคายเคืองผิวหนัง กระตุ้นให้ต่อมไขมันสร้างไขมันมามากกว่าปกติ
6. การนวดคลึงหนังศีรษะและการหวีผมเป็นการกระตุ้นให้ไขมันถูกสร้างออกมามาก จึงควรหลีกเลี่ยง
แก้ปัญหาผมร่วงด้วยตัวเองโดยวิธีธรรมชาติ
วิธีแก้ผมร่วงโดยวิธีธรรมชาติด้วยตนเอง วิธีการที่แนะนำนี้ ทางไทยแฮร์เซ็นเตอร์ รวบรวมและคัดสรรมา คุณสามารถใช้ร่วมระหว่างการรักษาที่ไทยแฮร์เซ็นเตอร์ได้ มีการรักษาโดยวิธีการใช้สารธรรมชาติที่อาจทำได้ โดยคุณสามารถเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้
1. นวดหนังศีรษะด้วยน้ำมันเอสเซนเชียล (essential oil) 2- 3 หยดหรือ น้ำมันพืชเช่น น้ำมันมะกอก นวดจนซึมเข้าสู่หนังศีรษะจนทั่ว ห่อด้วย พลาสติก หรือผ้าอุ่น ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นเล็กน้อย และแชมพูอ่อน ปฏิบัติเป็นประจำ วิธีนี้จะช่วยให้รูขุมขนชุ่มชื่นขึ้น
2. ผสมน้ำแอปเปิ๊ล กับ ชาเขียว ล้างผมเป็นประจำ จะช่วยให้ผมเจริญขึ้นใหม่ได้ดีขึ้น
3. ผสมน้ำมันละหุ่งอุ่นเล็กน้อยและน้ำมันเมล็ดแอลมอนด์ นวดหนังศีรษะโดยทั่ว อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
4. บดเมล็ดมะนาวกับพริกไทยดำผสมเข้าด้วยกันในขนาดเท่า ๆ กันในน้ำ ทาบริเวณหนังศีรษะเป็นประจำ
ทาหนังศีรษะบริเวณที่ล้าน ด้วยหัวหอม แล้วตามด้วยน้ำผึ้ง ทำวันละ 1 ครั้ง
5. นวดหนังศีรษะด้วยน้ำมันเมล็ดอัลมอนด์วันละ 1 ครั้ง ช่วยลดผมร่วง
6.นวดหนังศีรษะและผมด้วย น้ำมันมะพร้าวและอโลเวราเจล ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นเล็กน้อย ทำ 3 ครั้งต่อสัปดาห์
7.นวดหนังศีรษะและผมด้วยน้ำผึ้งผสมไข่แดงทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วล้างออก เพื่อป้องกันการหลุดร่วงของผม
8. รับประทานงาขาว 1 กำมือทุกวันตอนเช้า 1 กำมือของงาขาวจะมีแคลเซียมและแมกนีเซียม 1,200 มิลลิกรัม ช่วยเพิ่มสารอาหารของหนังศีรษะให้แข็งแรงขึ้น
9. นวดหนังศีรษะด้วยน้ำมันมะพร้าว ทุกวัน 10 -15 นาที ใช้น้ำต้มใบสะเดาทิ้งไว้ให้เย็น ช่วยในการล้างน้ำมันมะพร้าวออก
10. เพิ่มการรับประทานเนื้อสัตว์ ถั่ว (เพิ่มการรับประทานโปรตีน) โดยเฉพาะโปรตีนจากถั่วเหลืองหรือนมถั่วเหลืองถ้าสามารถกินได้วันละ 1/2 ลิตรได้ เส้นผมจะงอกใหม่เร็วมาก
11. รับประทานโยเกิร์ต 1 ถ้วยทุกวัน
12. เพิ่มอาหารพวกผักใบเขียว สลัด จมูกข้าวสาลี และธัญพืช
อาหารเสริมและวิตามินที่ช่วยเรื่องผมร่วง
ผมร่วงอาจเกิดขึ้นได้จากการขาดวิตามิน B ได้แก่วิตามิน B6 , ไบโอติน (biotin), อิโนซิทอล (inositol) และโฟลิคแอซิด (Folic acid) และ แร่ธาตุ(minerals) ได้แก่ แมกนีเซียม (magnesium), ซัลเฟอร์ (sulfur) และสังกะสี (Zinc)
* วิตามินบี โดยเฉพาะ B5 (pantothenic acid) และ B3 (niacin) มีความสำคัญอย่างมากสำหรับการเจริญเติบโตของเส้นผม
* กรดอะมิโน (amino acid) ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของอาหารพวกโปรตีน อันได้แก่เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว พบว่ามีความสำคัญต่อการควบคุมความหนาหรือบางของเส้นผม
การได้รับวิตามินเสริมในขนาดพอเหมาะ ในบางรายจะช่วยกระตุ้นการเจริญของเส้นผม และช่วยลดอาการผมร่วง ตัวอย่างเช่น ในผู้ชายที่ขาดวิตามิน B6 จะพบอาการผมร่วงเกิดขึ้นและเมื่อมีการขาดกรดโฟลิคร่วมด้วย อาจทำให้เกิดภาวะศีรษะล้านได้ เมื่อกลับมาได้รับวิตามินดังกล่าวในขนาดที่เหมาะสม ผมจะกลับมาขึ้นใหม่ได้อีกครั้งแบบปกติ
ดังนั้นในคนที่ขาดวิตามิน เมื่อได้รับวิตามินเสริมเข้าไปอย่างเหมาะสม อาจเข้าใจว่าวิตามินที่ได้รับเสริมเข้าไปนั้นทำหน้าที่คล้ายยาปลูกผม เพราะจะช่วยในการเจริญของเส้นผมให้หนามากขึ้น
* การได้รับวิตามิน A ขนาดสูง (100,000 IU ต่อวันหรือมากกว่า) ในทางกลับกัน อาจทำให้เกิดภาวะผมร่วงได้ แต่เมื่อหยุดได้รับ ผมก็สามารถที่จะกลับมาขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง
อาหารเสริมที่นิยมใช้ร่วมกับยาปลูกผม
อาหารเสริมและวิตามินบางชนิดถ้าให้ในปริมาณสูงมากๆช่วยเสริมฤทธิ์การทำงานของยาปลูกผมให้ทำงานได้ดีขึ้นและให้ผลการรักษาดีขึ้นด้วย เช่น กรดไขมันที่จำเป็น (Essential fatty acid) ได้แก่ น้ำมันจากเมล็ดของต้นปอป่าน (flaxseed oil), น้ำมันพริมโรส (primrose oil), น้ำมันปลาแซลมอน (salmon oil) ซึ่งเต็มไปด้วยกรด แอลฟา -ไลโนลีนิก หรือ เอแอลเอ (alpha – linolenic acid) ที่จัดอยู่ในกลุ่มกรดไขมันโอเมก้า-3 จะช่วยป้องกันผมแห้ง และลดการขาดหลุดร่วงของเส้นผมจากการที่เส้นผมเปราะบางได้ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต่อต้านอนุมูลอิสระด้วย
1. วิตามิน B มีความสำคัญต่อการเจริญของเส้นผม และช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี อาหารที่พบว่ามีวิตามิน B สูงได้แก่ ถั่ว, แครอท, กระหล่ำดอก, ยีสต์, รำข้าวและไข่
2. ไบโอติน (Biotin) ช่วยป้องกันอาการผมร่วง และจำเป็นสำหรับการเจริญของเส้นผมและผิวหนัง ถ้าได้รับในรูปของอาหารเสริมจะต้องใช้ปริมาณค่อนข้างสูง อาหารที่มีไบโอตินสูงได้แก่ ยีสต์ที่ใช้หมักเหล้า (brewer's yeast) , ข้าวซ้อมมือ, ข้าวสาลี, ถั่วเขียว, ข้าวโอ๊ต, ถั่วเหลือง, เมล็ดทานตะวัน, ถั่ว walnuts
3. อิโนซิทอล (inositol) ช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม มีมากใน ธัญพืช, ผลไม้รสเปรี้ยว, ตับ, ยีสต์หมักเหล้า
4. วิตามิน C ช่วยในการทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณรากผมได้ดีขึ้น
5. วิตามิน E ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้บริเวณรากผม และกระตุ้นเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณรากผมให้ดีขึ้น ช่วยกระตุ้นการเจริญของเส้นผม โดยการปรับภูมิคุ้มกันในร่างกาย
6. สังกะสี (Zinc) ช่วยกระตุ้นการเจริญของเส้นผมโดยการปรับภูมิคุ้มกันของร่างกาย
7. โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (co-enzyme Q10) ช่วยเพิ่มเลือดที่ไปเลี้ยงเส้นผม เพิ่มออกซิเจนให้รากผม และมีความจำเป็นต่อการทำให้เส้นผมแข็งแรงมีสุขภาพดี
8. แอล-ซีสทีน และ แอล-แมทไทโอนีน (L-cysteine,L-methionine) เชื่อว่าช่วยให้ผมที่คุณภาพดีขึ้น ปรับสภาพของเส้นผม ช่วยให้ผมเจริญได้ดีขึ้นและลดการหลุดร่วงของเส้นผม
เคล็ดลับวิธีการดูแลป้องกันผมร่วงเบื้องต้น 17 ข้อ เพื่อลดปัญหาผมร่วง
โดยทั่วไปคนเรามีผมบนศีรษะประมาณ 100,000-120,000 เส้น และจะมีการหลุดร่วงออกไปประมาณวันละ 50-100 เส้น ประมาณ 90% ของผมบนศีรษะ จะอยู่ในระยะการเจริญ และ 10% จะอยู่ในระยะพัก ก่อนที่จะหลุดร่วงออกไป เคล็ดลับเบื่องต้นง่ายๆ 17 ข้อ ที่ทำให้ผมมีสุขภาพแข็งแรงไม่หลุดร่วงง่ายอาจทำได้ดังนี้
1. ลดการรับประทานเกลือ และน้ำตาลมากเกินไป (ผัก ผลไม้ส่วนใหญ่จะมีเกลือและน้ำตาลในตัวเองอยู่แล้ว)
2. งดเหล้าและบุหรี่ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดรังแคและผมร่วงมากขึ้น
3. ไม่ควรสระผมบ่อยมากเกินไป โดยทั่วไปไม่ควรเกินวันละ 1 ครั้ง ใช้แชมพูอ่อน มีส่วนประกอบเป็นแบบ organic และไม่เป็นด่างมากเกินไป ควรใช้แชมพูที่ให้ความชุมชื่นต่อเส้นผมและไม่ทำให้หนังศีรษะแห้งเกินไป หลีกเลี่ยงแชมพูที่มีน้ำหอมหรือสารฟอก ถ้าเป็นไปได้คนที่ผมมันควรสระผมบ่อยขึ้น คนที่ผมแห้งควรใช้แชมพูที่เป็นด่างอ่อน ๆ และใช้ครีมบำรุงผมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่เส้นผม ยกเว้นในคนที่มีปัญหาหนังศีรษะมันไม่แนะนำให้ใช้ครีมนวดผม
4. อาจนอนให้ศีรษะต่ำกว่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเป็นบางช่วง (ครั้งละประมาณ 15 นาทีต่อวัน) เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปที่ศีรษะ
5. นวดหนังศีรษะด้วยมือ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือด อาจใช้วิตามิน E นวดเพื่อลดรังแคหรืออาจนวดด้วยน้ำมันเมล็ดอัลมอนด์ หรือน้ำมันมะพร้าว
6. หลีกเลี่ยงความเครียด เนื่องจากทำให้การไหลเวียนเลือดบริเวณหนังศีรษะลดลงและทำให้ผมร่วงมากขึ้น
7. กินอาหารให้ครบหมู่ และถูกสุขลักษณะ อาจเพิ่มวิตามินหรือเกลือแร่แสริมในกรณีที่กินอาหารได้ไม่ครบหมู่
8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เนื่องจากเป็นการเพิ่มการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย
9. ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละไม่น้อยกว่า 2 ลิตร
10. หลังจากว่ายน้ำ ควรล้างผมด้วยน้ำสะอาดทันที
11. หลีกเลี่ยงแดดจ้า โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10 โมงเช้า ถึงบ่าย 2 โมง แสงอัลตราไวโอเลตจะทำลายเส้นผม
12. หลีกเลี่ยงสารเคมีที่ใช้กับผม เช่น การย้อมผม, ยืดผมและไม่ควรเป่าผมด้วยความร้อนบ่อย ๆ
13. เลือกทรงผมที่ไม่ดึงรั้งผมมากเกินไปบ่อย ๆ เช่น การถักเปียแน่นหรือรัดผมแน่นเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดผมร่วงจากการดึงรั้งได้ และไม่ควรผูกผมขณะที่ผมยังเปียกชื้น
14.การใช้เทคนิคการผ่อนคลาย หรือการนั่งสมาธิทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด อาจช่วยลดอาการผมร่วงได้
15. ไม่ควรหวีผมหรือเช็ดผมแรงเกินไป เนื่องจากอาจทำให้ผมขาดหลุดร่วงง่าย
16. การหมักผมด้วยสารธรรมชาติบางชนิด เช่น น้ำผึ้งผสมไข่แดง หรือ น้ำแอ๊ปเปิ้ลหมักไว้ 1/2 ชั่วโมง แล้วล้างออกก่อนสระผม ช่วยทำให้ผมนุ่มขึ้น
17. เมื่อมีปัญหาผมร่วง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ และรักษาเนื่องจากหากปล่อยไว้อาจเกิดภาวะศีรษะล้าน ซึ่งส่งผลต่อบุคลิกภาพได้
ข้อมูลที่หามาคงพอช่วยให้สาวๆที่ประสบปัญหาเดียวกันมองเห็นบ้างแล้วนะคะว่าปัญหาผมร่วงของเรานั้นเกิดจากสาเหตุอะไร
ปัญหาผมร่วง เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ต้องใช้เวลาในการรักษาค่อนข้างนาน และต้องต่อเนื่อง
แต่เราสามารถป้องกันและดูแลเส้นผมของเราได้ง่ายๆ เริ่มจากอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวัน
ลองปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นดูนะคะ เจ้าของกระทู้เองก็คงต้องเริ่มจากการปรับอาหารเสียใหม่
และลดความเสี่ยงที่อาจจะทำให้ผมร่วงได้ ต้องหันกลับมาดูแลตัวเองอีกครั้ง
แต่ไม่อยากพึ่งแาหารเสริมเพียงอย่างเดียวค่ะ ไม่ใช่ไม่ดีนะคะ
อาหารเสริม วิตามิน กินเสริมก็ดีค่ะ แต่ว่าเราก็ต้องควบคมอาหารที่กินเข้าไปทุกวันให้มีประโยชน์ด้วยค่ะ
ขอให้สาวๆ ผมนุ่มสวยเป็นเงางามทุกคนเลยจ้า
หน้าที่เข้าชม | 7,303,563 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 4,296,250 ครั้ง |
เปิดร้าน | 25 เม.ย. 2556 |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |